หน้าเว็บ

เก็บกินที่ปักกิ่ง

      
          เมื่อปีใหม่ปี 2554 ที่ผ่านมา ตกกระไดพลอยโจนไปเที่ยวปักกิ่ง-ฮาร์บิ้น หนาวแบบน้ำมูกน้ำลายไหลออกมาเจอกันยังไม่รู้สึกตัว จนเพื่อนที่ไปด้วยทนความอุบาทว์ไม่ไหว ควานหากระดาษทิชชูมาให้พร้อมทำข้อตกลงในการช่วยสำรวจใบหน้าของกันและกัน เพราะมันหนาวจนชาไปหมด ได้โอกาสรีบขึ้นไปรอบนรถทันที ไกด์ก็รีบทำงานทันทีเหมือนกัน ควักขนมของว่างแจกให้ลองลิ้มชิมรสกันดู ใครอยากได้เพิ่มจงระบุจำนวนที่ต้องการมาซะดีๆ และแล้วเราก็ติดบ่วงเข้าอย่างจัง



มันคือมันที่มีรสหวาน ตอนกินไปครั้งแรกนึกถึงมันญี่ปุ่นนึ่งที่ขายตามละลายทรัพย์ แต่ดีกว่าตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเปลือกว่าจะลอกมันออกก่อนกินดี หรือว่ากินๆ มันไปเถอะ เดี๋ยวมันก็แปลงร่างออกจากตัวเราไปแล้ว  ขนาดของก้อนมันในถุงมีขนาดเท่าๆ กันประมาณนิ้วโป้งมือได้ เลยไม่แน่ใจว่ามันเป็นขนาดธรรมชาติของมันเอง หรือว่าเกิดจากการบดแล้วปั้นกลับมาให้เป็นก้อนอีกที เนื้อเหนียวหนุบหนับเหมือนกินมันนึ่งนั่นแหละแต่ไม่มีเสี้ยนมัน กินไปก็เพลินดี จะนับว่ามีกี่ลูกก็ลืมทุกที แต่กะได้ว่าไม่เกิน 10 ลูกแน่ๆ

ซองนี้ก็เป็นแอปเปิ้ลอบแห้ง รสออกไปทางหวาน ตอนฉีกซองออกมากินแรกๆ ก็ยังอร่อย กรุบกรับดี แต่ว่าอยากเก็บไว้กินนานๆ เลยละเลียดเคี้ยวละเลียดกลืน ปรากฏว่าที่เหลือเลียได้อย่างเดียว เคี้ยวไม่ค่อยออก สงสัยคงโดนอากาศข้างนอกนานไปเลยเหนียวซะงั้น แต่ตอนที่กินแล้วอร่อยที่สุดคือ ตอนไกด์แจกให้ชิมบนรถช่วงหนาว -29 นั่นแหละ สุดยอด


นอกจากขนมถุงๆ แล้วยังมีขนมพื้นบ้านที่มีหน้าตาเป็นมิตร ลักษณะคล้ายกับว่าจะเป็นแป้งทอด ซึ่งเพื่อนที่ไปด้วยกันรู้ภาษาจีนบ้างนิดหน่อย ก็ถามเขาว่าแป้งทอดในแต่ละตะกร้านั้นแตกต่างกันตรงไหน จับใจความกันได้ว่ามันผสมไม่เหมือนกัน รสชาติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กันส่วนผสม ก็เลยลองซื้อมาทุกตะกร้าอย่างละ 2 ชิ้น พอกินเข้าไปแข็งมาก ต้องใช้น้ำลายช่วยให้เปื่อยซะหน่อยถึงจะกินเข้าไปได้ และที่น่าประหลาดใจคือรสชาติเหมือนขนมเกลียวสุโขทัยแบบไม่มีน้ำตาลเคลือบทุกตะกร้า เลยไม่รู้ว่าจะทำรูปทรงให้มันแตกต่างกันไปทำไม หรือไม่อีกทีก็เพื่อนเราที่เข้าใจสิ่งที่คนขายบอกผิดเอง            


หลังจากกินขนมเกลียวสุโขทัยกันเข้าไปแล้ว เราก็อาศัยติดสอยห้อยตามเพื่อนไปเยี่ยมอาจารย์สอนภาษาจีนที่บ้าน และที่นั่นเราได้รับการต้อนรับด้วยอาหารมื้อเย็นเป็นเกี๊ยวนึ่งที่อาจารย์ทำเอง ซึ่งเพื่อนเราบอกว่าเกี๊ยวนี้เป็นสุดยอดเกี๊ยวตั้งแต่เคยกินมา


แต่ตามความรู้สึกเราสิ่งที่สุดยอดกว่าเกี๊ยวคือ กะหล่ำปลีม่วงคลุกกับซอสอะไรสักอย่างที่ใช้กินเป็นเครื่องเคียงในจานหลังนี่สิ มันช่วยแก้เลี่ยนเกี๊ยวได้อย่างมาก เพราะรสของน้ำซอสที่คลุกเคล้าในกะหล่ำปลี มีความเปรี้ยวนำ ตามมาด้วยเค็มหวาน ที่กลมกล่อม ทำให้เกี๊ยวมื้อนั้นหมดไปประมาณ 60-70 ตัวได้ ซึ่งเวลาไปกินตามร้านข้างนอกในปักกิ่ง ก็ยังไม่เคยเห็นร้านไหนมีเครื่องเคียงให้ นอกจากน้ำจิ้มเค็มปิ๊ดหนึ่งถ้วย